สธ.หนุนฝังเข็มรักษาโรคออกกฎคุมมาตรฐาน

สธ.ออกกฎหมายคุมมาตรฐานการแพทย์แผนจีน ต้องมีใบประกอบโรคศิลปะ มีผลบังคับใช้21 ต.ค.นี้ ขณะที่ผลวิจัยการันตีฝังเข็มช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ร้อยละ45 ผลรักษาฝ้าดีกว่าใช้ยา

      นายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวก่อนเป็นประธานเปิดประชุมวิชาการการแพทย์ไทย-จีน ครั้งที่3 จัดโดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก สธ.และสำนักสาธารณสุขเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน มีนักวิชาการสาธารณสุข แพทย์ที่ให้บริการด้านการฝังเข็มจากโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ และแพทย์จีนที่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพชั่วคราวในประเทศไทย เข้าร่วมประชุมประมาณ400 คน ว่า องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับศาสตร์การฝังเข็ม ว่า สามารถใช้รักษาโรคต่างๆ ที่มีผลงานวิจัยรองรับ28 โรค เช่น อาการปวดเข่า ปวดหลัง ปวดต้นคอ ปวดข้อ ไมเกรน ภาวะซึมเศร้า โรคหลอดเลือดสมอง

      โดย สธ.มีนโยบายสนับสนุนการฝังเข็มมาใช้ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน เนื่องจากต้นทุนในการรักษาต่ำ ใช้เพียงเข็มและอุปกรณ์อื่นอีกเล็กน้อย สะดวก รักษาได้ทุกที่ และช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ขณะนี้มีโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนเปิดให้บริการฝังเข็มใน50 จังหวัด มีแพทย์แผนปัจจุบันผ่านการอบรมรวมหลักสูตรการฝังเข็ม3 เดือน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสธ.กับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเซี่ยงไฮ้ จำนวนกว่า1,000 คน

      “ขณะนี้ได้ออกกฎหมายกำหนดให้ การแพทย์แผนจีนเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะสาขาที่9 ตามพ.ร.บ.การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542 ซึ่งประกอบด้วย การนวดแผนจีน การฝังเข็มและการจับชีพจรและรักษาด้วยสมุนไพร หรือที่รู้จักกันว่าหมอแมะ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่22 กรกฎาคม2552 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่21 ตุลาคม2552 เป็นต้นไป ผู้ที่ประกอบวิชาชีพทุกคนจะต้องมีความรู้และสอบใบประกอบโรคศิลปะตามหลักเกณฑ์ ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกิน3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งจะทำให้ประชาชนไทยมีทางเลือกในการดูแลรักษาฟื้นฟูสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐานและปลอดภัยนายมานิต กล่าว

      ด้านนพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ศาสตร์การแพทย์แผนจีนมี3 ด้าน ได้แก่1.การตรวจชีพจรและใช้ยาสมุนไพรจีน2.การฝังเข็ม3.การนวดแผนจีนเพื่อรักษา จากการสำรวจความพึงพอใจที่หน่วยฝังเข็มของโรงพยาบาล ในสังกัด สธ.ทั่วประเทศ พบว่า ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจมาก และขณะนี้มีมหาวิทยาลัยที่เปิดคณะการแพทย์แผนจีนหลักสูตร5 ปี2 แห่ง คือ ม.หัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ม.ราชภัฏจันทรเกษม และที่กำลังจะเปิดที่ ม.ราชภัฏเชียงราย และ ม.เทคโนโลยีสุรนารี เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนที่สนใจ เผยแพร่ทางเวบไซต์ของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย คาดว่า จะเสร็จสมบูรณ์ในต้นปี2553

      ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในงานเดียวกันมีการนำเสนอผลงานวิจัย เรื่องการศึกษาผลการรักษาริ้วรอยบนใบหน้าด้วยวิธีฝังเข็มโดยรศ.พญ.วัณณศรี สินธุภัค อาจารย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการศึกษาในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิงจำนวน30 คน อายุระหว่าง35-60 ปี ที่มีริ้วรอยที่ตำแหน่งหางตา หน้าผาก และระหว่างคิ้ว โดยแบ่งเป็น3 กลุ่ม คือ กลุ่มฝังเข็มและกระตุ้นด้วยไฟฟ้า10 คน ฝังเข็มธรรมดา10 คน และกลุ่มควบคุม10 คน ทั้ง30คน ได้รับครีมกันแดดSPF 40 ทาวันละหนึ่งครั้งในช่วงเช้า ทำการรักษาด้วยการฝังเข็ม2 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน5 สัปดาห์ โดยในสัปดาห์ที่5 ,8และ12 วัดผลโดยแพทย์ผิวหนัง2 ท่าน

       ผลวิจัยพบว่า ริ้วรอย70 ตำแหน่ง ในกลุ่มฝังเข็มและกระตุ้นด้วยไฟฟ้ามีริ้วรอยดีขึ้นเท่ากับ ร้อยละ45.8 กลุ่มฝังเข็มธรรมดีขึ้น ร้อยละ42.9% โดยริ้วรอยบริเวณหน้าผากในกลุ่มฝังเข็มและกระตุ้นด้วยไฟฟ้าดีขึ้นที่สัปดาห์ที่8 ร้อยละ33.3% และผู้ป่วยทุกคนพอใจกับผลการรักษา แต่หลังการฝังเข็มแต่ละครั้งผู้ป่วยบางคนมีอาการผิวหนังแดงเล็กน้อย และจุดเลือดออกบริเวณที่ฝัง ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วย5 ใน20 คน มีจ้ำเลือดหลังทำ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยร้อยละ95 จะมีอาการเจ็บน้อยถึงปานกลางบริเวณที่ฝัง การศึกษาครั้งนี้จึงสรุปได้ว่า การฝังเข็มหน้าและกระตุ้นไฟฟ้าสามารถรักษาริ้วรอยรอบตาที่สัปดาห์ที่5 และบริเวณหน้าผากที่สัปดาห์ที่8ได้ดีขึ้นต่างกับกลุ่มควบคุมและไม่พบว่ามีผลข้างเคียงรุนแรงเกิดขึ้น

       นอกจากนี้ พญ.สายชลี ทาบโลกา อาจารย์ประจำสำนักเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ ม.แม่ฟ้าหลวง นำเสนผลงานวิจัยเรื่องการศึกษาประสิทธิผลของการรักษาฝ้าด้วยการฝังเข็มเทียบกับการใช้ยาไฮโดรควิโนน3%” ทำการศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง2 กลุ่ม กลุ่มละ28 คน โดยมีกลุ่มฝังเข็มและกลุ่มใช้ยาให้เลือกตามความสมัครใจของผู้ป่วย โดยกลุ่มฝังเข็ม ฝังเข็ม2 ครั้งต่อสัปดาห์ กลุ่มใช้ยาทาวันละครั้งก่อนนอน และผู้ป่วยทั้ง2 กลุ่มได้รับยากันแดดชนิดเดียวกันและได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับปัจจัยกระตุ้นฝ้าเหมือนกัน ติดตามผลการรักษาสัปดาห์ที่2, 4, 6, 8, 10 และหลังหยุดการรักษาสัปดาห์ที่2, 4

      ผลวิจัยพบว่า ค่าความเข้มของผิวและค่าความรุนแรงของฝ้าทั้ง2 กลุ่ม ลดลงในทุกครั้งที่ประเมินเมื่อเทียบกับก่อนการรักษา เมื่อเปรียบเทียบค่าความรุนแรงของฝ้า พบว่า กลุ่มฝังเข็มน้อยกว่ากลุ่มใช้ยาตั้งแต่สัปดาห์ที่4 ของการรักษา ส่วนค่าความเข้มสีผิว กลุ่มฝังเข็มน้อยกว่ากลุ่มใช้ยาตั้งแต่หยุดการรักษาสัปดาห์ที่2 ซึ่งในการประเมินความพึงพอใจของการรักษาและความทนทานต่อการรักษา พบว่า ในกลุ่มฝังเข็มมีค่ามากกว่า ส่วนผลข้างเคียงในกลุ่มฝังเข็มน้อยกว่ากลุ่มใช้ยา นอกจากนี้ กลุ่มฝังเข็มสุขภาพด้านอื่นดีขึ้น การศึกษานี้สรุปได้ว่า การฝังเข็มเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาฝ้าที่มีประสิทธิผลดี ทำให้ฝ้าจางลง ผลการรักษายังคงอยู่นานกว่ากลุ่มใช้ยา ลดการเป็นซ้ำ ความพึงพอใจและความทนทานในการรักษาดีกว่าการใช้ยาไฮโดรควิโนน3% ผลข้างเคียงน้อย

Read more