• ติดต่อสอบถามที่เบอร์
  • สาขา วัดยานนาวา 02-673-9975-6

ประวัติความเป็นมาของศาสตร์การครอบแก้ว

การครอบแก้วเป็นศาสตร์ของจีนโบราณที่มีการบันทึกในหนังสือและมีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปีมาแล้วแรกเริ่มจะใช้เขาของสัตว์ที่กลวงมาทำเป็นกล่องหรือลักษณะคล้ายแก้วแล้วนำมาต้มกับน้ำร้อนหรือมีการจุดไฟลนเพือให้เกิดสภาวะสุญญากาศต่อมาเปลี่ยนมาใช้เป็นถ้วยที่ทำจากไม้ไผ่หรือถ้วยแก้วแต่ก็ยังต้องลนด้วยไฟหรือต้มกับน้ำเพื่อทำให้เกิดสุญญากาศในถ้วยแก้วแล้วนำมาครอบบำบัดบริเวณผิวหนังที่อักเสบมีหนองดูดของเสียสารพิษลิ่มเลือดหนองออกจากบริเวณ ดังกล่าว

ทฤษฎีเกี่ยวกับถ้วยดูดระบบสุญญากาศ

ทฤษฎีของการวางถ้วยแก้วในการบำบัดอาการโรคต่างๆอาศัยการปฏิบัติงานของระบบสุญญากาศโดยใช้ถ้วยแก้วลนด้วยไฟ เพื่อให้เกิดความกดดันของสุญญากาศความกดดันของสุญญากาศจะดึงดูดผิวหนังให้นูนสูงขึ้น บริเวณผิวหนังดังกล่าวจะเกิดปฏิบัติการทางพยาธิวิทยาดังนี้:-

1. บริเวณผิวหนังถูกกระตุ้นถูกกดดันผลักดันเลือดลมให้ไหลเวียนเข้ามาหล่อเลี้ยงเพิ่มมากขึ้น

2. ผลักดันให้จุดต่างๆของเส้นลมปราณเซลล์ของเส้นประสาทเซลล์ของเลือดเพิ่มประสิทธิภาพงานทางด้านพยาธิวิทยา

3. ผลักดันให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนตัวเข้ามากำจัดสิ่งแปลกปลอมสารพิษเชื้อโรคของเสียต่างๆเหล่านี้ถูกขจัดออกจากผนังของหลอดเลือดประสานกับความกดดันของถ้วยดูด

4. การปฏิบัติงานของผิวหนังของเสียสารพิษบางส่วนจะถูกดูดออกจากรูขุมขนของผิวหนังโดยตรงสะท้อนออกเป็นไอน้ำหยดน้ำเกาะติดอยู่กับผนังของถ้วยดูดบางส่วนจะถูกดูดมาเกาะติดอยู่กับผิวหนัง

5. ของเสียหรือสารพิษจะถูกขจัดออกจากร่างกายพร้อมกับเหงื่อหรือสลายไปตามเลือดลมที่หมุนเวียนอยู่ในระบบหลอดเลือดถูกขับออกจากร่างกายโดยทางปัสสาวะและอุจจาระ

6. ของเสียสารพิษต่างๆถูกขจัดออกจากผนังหลอดเลือดผนังหลอดเลือดขยายกว้างขึ้นเลือดลมไหลเวียนอยู่ในระบบหลอดเลือดถูกปรับเข้าสู่การหมุนเวียนอย่างมีระเบียบ

7. อวัยวะต่างๆภายในร่างกายได้รับเลือดลมมาหมุนเวียนหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอปรับการปฏิบัติหน้าที่งานเข้าสู่ปกติและมีประสิทธิภาพทั่วทั้งร่างกายก็จะถูกปรับเข้าสู่สมดุล

ประโยชน์ที่จะได้รับจากการครอบแก้วในการบำบัดรักษาโรค

1 มีผลต่อการเสริมสร้างสุขภาพต่อการป้องกันโรค หลังจากของเสียสารพิษต่าง ๆ
ในร่างกายถูกดึงดูดออกจากร่างกายบริเวณผิวหนังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายก็จะได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ การปฏิบัติหน้าที่งานที่พยาธิวิทยาของผิวหนังก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพของเสียสารพิษต่าง ๆ ภายนอกจะไม่สามารถแทรกซึมผ่านเข้าผิวหนังได้ง่าย ภูมิคุ้มกันร่างกายก็จะแข็งแรงดีขึ้น
2 มีผลต่อการบำบัดโรคต่าง ๆ ในการครอบแก้วนี้ได้ผลคล้ายคลึงกับผลจากการ
นวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า และนวดกดจุดตามเส้นลมปราณ ทำให้เกิดผลต่อการกระตุ้นปลุกเร้าถึงเซลล์ของเส้นประสาท ผลักดันให้เซลล์ประสาทปฏิบัติหน้าที่งานอย่างกระฉับกระเฉง และผลักดันให้เลือดไหลเวียนในหลอดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลทำให้ผนังหลอดเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายด้วยวิธีการนี้จะทำให้เลือดที่คลั่งบริเวณจุดที่ปวดเกิดการไหลเวียนที่ดีขึ้น การส่งผ่านออกซิเจนไปยังจุดต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ส่งผลให้อาการปวดทุเลาลง

โรคหรืออาการที่รักษาด้วยการครอบแก้ว

การครอบแก้วสามารถแก้อาการต่าง ๆ ดังนี้:-
- ไข้หวัด - ท้องผูก
- ปวดศีรษะ - นอนไม่หลับ
- โรคกระเพาะอาหาร - ความดันโลหิตสูง
- เบาหวาน - อัมพาต
- ไหล่ติด - ปวดเอว
- ไซนัส - คออักเสบ
- สิว - เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- ต่อมลูกหมากโต - วัยทอง
- ปวดประจำเดือน - อ้วน
- ปวดคอ บ่า ไหล่ - กรดไหลย้อน
ครอบแก้วทำได้ทั้งบริเวณหลัง หน้าท้อง หน้าอก ขา แขน หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่มีพื้นที่ในการวางครอบแก้ว และอวัยวะต่าง ๆ ที่มีอาการเจ็บปวด

ขั้นตอนและวิธีการบำบัดการครอบแก้ว

1. แพทย์จะตรวจหรือวินิจฉัยอาการเพื่อหาสาเหตุของการเกิดโรคเสียก่อน ด้วยวิธีศาสตร์การแพทย์แผนจีน
2. นำเอาถ้วยแก้วที่เตรียมไว้แล้วและนำสำลีมาชุบแอลกอฮอล์ไปจุดไฟ แล้วนำไฟเข้าไปใส่ในถ้วยแก้ว เพื่อให้ภายในภาชนะนั้นเกิดระบบสุญญากาศ แล้วจึงรีบนำไปคว่ำไว้ยังอวัยวะต่าง ๆ ที่ต้องการของผู้ป่วย จากนั้นกล้ามเนื้อและผิวหนังก็จะถูกดูดหรือดึงขึ้นด้วยระบบสุญญากาศภายในภาชนะจนนูนขึ้นและผิวหนังก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีต่าง ๆ (อาจมีการใช้น้ำมันสมุนไพรทาผิวก่อนที่จะครอบแก้ว เพื่อให้การเคลื่อนแก้วเป็นไปโดยง่ายขึ้น)
3. การครอบแก้วแต่ละครั้ง จะมีระยะเวลาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งแต่ละคนก็จะมีสีผิวหนังที่แตกต่างกันออกไปตามอาการและการสะสมของสารพิษ เช่น อาจจะมี สีแดง สีน้ำตาล สีม่วง สีดำ เป็นต้น และสีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะค่อย ๆ เลือนรางจางหายไปภายใน 5-7 วัน สีของผิวที่ถูกครอบแก้วยังสามารถบ่งบอกถึงความรุนแรงและการปวดของบริเวณนั้น ๆ ได้อีกด้วย


ข้อห้าม ข้อควรระวัง

ปกติ 90% ของคนทั่วไป สามารถรับการรักษาแบบครอบแก้วได้
แต่กลุ่มคนที่ไม่ควรรับการรักษาด้วยวิธีนี้คือ สตรีมีครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ 1-4 เดือน เพราะเมื่อตัวอ่อนในครรภ์เจอความร้อนหรือเกิดแรงกระตุ้นมาก ๆ
อาจทำให้เกิดการฝ่อหรือหลุดได้ และอีกกลุ่มคือ ผู้ที่มีอาการติดเชื้อบริเวณผิวหนัง เพราะถึงแม้จะมีการทำความสะอาดอุปกรณ์มากเพียงใด แต่ถ้ามีโรคติดต่อหรือเชื้อโรคอยู่
การครอบแก้วก็อาจไปกระตุ้นให้เชื้อโรคนั้นเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น

ระยะเวลาในการบำบัด

ในการบำบัดขึ้นอยู่กับอาการและดุลพินิจของแพทย์ โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควรบำบัดและรักษาเป็นชุด เพื่อให้การรักษาเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ควรทำควบคู่กับการฝังเข็ม
1 ชุดการรักษา เท่ากับ 10 ครั้ง

ค่าใช้จ่ายในการบำบัดครอบแก้ว
ครอบแก้ว 1 ครั้ง ราคา 300 บาท

เพื่อการบำบัดและการรักษา

การฝังเข็มคือ วิธีการรักษาโรค ฟื้นฟูสุขภาพ สร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค โดยการปักเข็มเข้าไปยังตำแหน่งต่างๆ ของร่างกายในตำแหน่งที่เป็นจุดเฉพาะ ปัจจุบันศาสตร์การฝังเข็ม นอกจากจะรักษาโรคแล้ว ยังมีการฝังเข็มเพื่อสุขภาพและความงามของผิวพรรณ โดยใช้หลักการรักษาสุขภาพให้เกิดสมดุล เลือดไหลเวียนดี ผิวหน้าเปล่งปลั่ง กระชับรูขุมขน และช่วยลดการเกิดสิวฝ้าด้วยโรคหรืออาการที่รักษาด้วยการฝังเข็ม
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับการรับรองการรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม ตั้งแต่ปี 1973 ซึ่งปัจจุบันสามารถ รักษาโรคได้มากกว่า 80 รายการ เช่น

• ไซนัส ภูมิแพ้ หอบหืด
• ปวดศีรษะ ไมเกรน นอนไม่หลับ
• ปวดเข่า ปวดขา ปวดหลัง ไหล่ติด
• การอักเสบของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
• ลดน้ำหนัก กระชับสัดส่วน ปรับสมดุล
• สุขภาพผิวพรรณ หน้าใส ลดปัญหาสิว ฝ้า หน้ามัน กนะชับผิวหน้า รูขุมขน
• ฯลฯ


ข้อห้ามในการฝังเข็ม
• ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ต้องให้การรักษาอย่างระมัดระวัง
• ผู้ป่วยโรคมะเร็ง (ที่ยังไม่ได้รับการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน)
• ผู้ป่วยโรคเลือด ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด
• โรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
• โรคที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยที่แน่นอน


การเตรียมตัวก่อนและหลังการรักษา
• สวมเสื้อผ้าที่สบาย ไม่รัดแน่น จนเกินไป
• ควรรับประทานอาหารก่อนมาฝังเข็ม 1-2 ช.ม.
• ทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย เพื่อลดการติดเชื้อ
• เพื่อผลการรักษาที่ดีแพทย์จะปักคาเข็มทิ้งไว้ ประมาณ 20-30 นาทีโดยอาจกระตุ้นด้วยมือหรือกระแสไฟฟ้า จากนั้นจะถอดเข็มออก ในระหว่างการคาเข็ม ผู้ป่วยต้องพยายามอย่าขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฝังเข็ม เพราะเข็มจะบิดในกล้ามเนื้อ แม้ไม่เกิดอันตราย แต่อาจทำให้เจ็บมากขึ้นและมีเลือดออกตอนถอนเข็ม ผู้ป่วยสามารถขยับตัวได้บ้าเล็กน้อยพยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อจะสบายที่สุด แต่ถ้าหากมีอาการผิดปกติใดๆ เช่นรู้สึกหวิวๆ หน้ามืดจะเป็นลม แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ให้แจ้งแพทย์ที่รักษาทราบทันที
การดูแลตัวเองหลังการฝังเข็ม
• ควนดื่มน้ำอุ่นหลังการฝังเข็ม
• สำรวจร่างกายตนเองบริเวณที่ฝังเข็ม ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีเลือดออก มีรอยบวม รู้สึกเจ็บปวดต้องแจ้งให้แพทย์ที่รักษาทราบทันทีเพื่อแก้ไขให้เป็นปกติก่อนกลับบ้าน
• งดการอาบน้ำเป็นเวลา 2 ชม. หลังการฝังเข็ม
• พักผ่อนให้เต็มที่อีก 1 วัน
• ถ้ามีไข้ให้ทานยาลดไข้ตามปกติ อาการจะหายไปเอง ภายใน 24-48 ชม.


ระยะเวลาในการฝังเข็ม
ขึ้นอยู่กับอาการและดุลพินิจของแพทย์ โดยเฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ควร ฝังเข็มเป็นชุด โดยหนึ่งชุด การรักษาเท่ากับ 10 ครั้ง

เรื่องราวน่าสนใจ

มาตราการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)

...

  กรณีสถาบันพรหมวชิรญาณ สหคลินิกการแพทย์แผนไทย-จีน   ป้องกันไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ...

รางวัลเสาอโศกผู้นำศีลธรรม

รางวัลเสาอโศกผู้นำศีลธรรม

 เป็นรางวัลเกียรติยศที่มอบให้แก่บุคคล ...